เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ก.พ. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราปรารถนาดี เราต้องการคุณงามความดีกันนะ เพราะคุณงามความดี บุญกุศล บาปอกุศล ทุกคนไม่ต้องการความเป็นบาปอกุศล ทุกคนต้องการเป็นความดี วันเวลามันล่วงไปทุกวันๆ นะ วันเวลามันล่วงไป สายน้ำมันไปแล้วมันไม่ไหลกลับ แต่เวลาฤดูกาลมันก็มีสายน้ำใหม่มาตลอด สายน้ำมันไหลไปแล้วไม่มีวันกลับ วันเวลามันผ่านไปแล้วนะเราจะเรียกร้องเอาสิ่งใด? มันเป็นไปตามวัย วัยของเด็ก วัยของคนทำงาน วัยของคนที่มีอายุ เป็นไปตามวัย

นี่วันเวลามันผ่านไปแล้ว เราจะเสียดายวันเวลานั้นก็ผ่านไปแล้ว ถ้าคนมีสติ เห็นไหม คนตื่นอยู่ กาลเวลาสิ่งใดเราจะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น คนหลับใหลนะ คนหลับอยู่ คนสลบอยู่ เราจะไปปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา ให้เขารู้เหตุการณ์ในปัจจุบันอย่างเราเป็นไปไม่ได้ พูดถึงคนที่สลบไสลไปนี่เราเห็นด้วยสายตานะ คนเราโดนกิเลสมันทับในหัวใจ

เกิดมาเป็นชาวพุทธพบพุทธศาสนา แล้วไม่ได้สนใจสิ่งใด ไม่ได้สนใจสิ่งใดเลย สนใจแต่ความทำมาหากินของเรา การทำมาหากินนั้นมันเป็นหน้าที่นะ คนเกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย การทำมาหากินเราเหนื่อยยากไหม? เราทุกข์ยากไหม? เราเหนื่อยยาก เราทุกข์ยากเป็นธรรมดา แต่เราก็ขวนขวายเพราะเราเห็นว่าเป็นสมบัติเรา เราเห็นว่าเป็นของๆ เราใช่ไหม? แต่เวลาในทางธรรมนะ สิ่งนั้นเป็นเครื่องอาศัย มันเป็นจริงตามสมมุติ

แม้แต่ชีวิตของเรา ชีวิตของเรานี่จริงตามสมมุตินะ เวลามีชีวิตอยู่เป็นของเราแน่นอน เพราะถ้ามันไม่ใช่ของเรา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เจ็บป่วยขึ้นมาต้องบอกว่าไม่ใช่ของเราสิ ทำไมมันเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมามันเหยียบย่ำหัวใจล่ะ? แต่เวลามีความสุข มีความพอใจของเรา เราจะให้มันอยู่กับเรานานๆ ทำไมมันไม่อยู่ล่ะ? เห็นไหม ของนี่มันอยู่ชั่วคราวเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วความจริงล่ะ? ความจริงมันอยู่ที่ไหน? เราจะไปหาความจริงกันนะ ความจริงไปหาที่ไหนก็ไม่มี ไปหาที่ไหน โลกนี้สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง

“สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา”

แล้วสิ่งใดที่เป็นความจริงล่ะ? ที่เป็นอนิจจังๆ เป็นความจริงล่ะ?

ความจริง เห็นไหม เวลาเราพิจารณากัน นี่สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา อนัตตานี่ไตรลักษณญาณ เวลาเกิดไตรลักษณญาณ สิ่งที่เป็นอนัตตามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป แล้วมันเหลือสิ่งใด? สิ่งใดที่รับรู้แล้วแก้ไขมันขึ้นมาล่ะ? เห็นไหม สิ่งนั้นเป็นธรรม ธรรมอันนี้ไม่อยู่ในกฎของการเปลี่ยนแปลง โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสมมุติ นี่จริงตามสมมุติทั้งนั้นแหละ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงมี

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าขึ้นมา ค้นคว้า เห็นไหม ไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราต้องเป็นอย่างนั้นหรือ? มันต้องมีตรงข้าม คำว่ามันต้องมีตรงข้ามวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้นะ เวลาวิทยาศาสตร์พิสูจน์กัน ชีวิตนี้มาจากไหน? วิทยาศาสตร์พยายามพิสูจน์กันว่าชีวิตนี้มาจากไหน? ผีมีไหม? จิตวิญญาณมีไหม? เขาบอกไม่มี เวลามนุษย์เรา ดูสิมันเป็นพลังงานเฉยๆ มันเป็นพลังงานประจุไฟฟ้า มันเป็นต่างๆ มันควบคุมร่างกาย เขาคิดได้แค่นั้นแหละ วิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์กันอยู่อย่างนั้น

ชีวิตนี้มาจากไหน? นี่แล้วมันตายแล้วไปไหน? วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้แค่นี้ แต่เวลาในพุทธศาสนา เวลาเรามาพิสูจน์ความจริงของเรานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณคือระลึกสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสมบุญญาธิการมา จนมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ จนมาในการประพฤติปฏิบัติ จนมาจะรื้อค้น สิ่งนี้มันต้องมีวุฒิภาวะมา มันถึงทำให้คนเรามีความรู้สึกนึกคิดแตกต่างหลากหลายกันมา

คนที่มีความนึกคิดแตกต่างมา เพราะมีอำนาจวาสนา บุญญาธิการของเก่าเขามี แต่บางคน เห็นไหม ดูสิความคิดของเรา เราคิดของเราประสาเรา เราก็ว่าเราถูกต้องทั้งนั้นแหละ แล้วมีคนความคิดต่างไปจากเรา เราบอก อืม มันเป็นไปได้หรือ? มันเป็นไปได้หรือ? นี่ไง สิ่งที่มันผ่านมา บุพเพนิวาสานุสติญาณที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระลึกอดีตชาติย้อนกลับไปว่า ทำไมมาเป็นเรา? ทำไมมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วบุพเพนิวาสานุสติญาณนี้มันก็ไม่ใช่การชำระกิเลส มันเป็นอดีตมา แล้วถ้ามันยังไม่สิ้นกิเลสไป พอจิตมันสงบมาเป็นจุตูปปาตญาณ มันยังขับเคลื่อนไปข้างหน้า เห็นไหม วิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ไม่ได้ นี้พระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้นะ

เราจะบอกว่าแม้แต่ฤๅษีชีไพร แม้แต่คนที่ทำความสงบของใจขึ้นมาเขาก็รู้สิ่งนี้ได้ แต่รู้สิ่งนี้ได้ รู้สิ่งนี้เพราะมันมีอยู่ ของมันมีอยู่เราถึงรู้ได้ ทุกคนมีการกระทำมา ทุกคนมีเวรมีกรรมมา มันมีอยู่ในหัวใจมันถึงรู้ได้ ปุถุชนเขาก็รู้ได้ ฤๅษีชีไพรเขาก็รู้ได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เริ่มต้นขึ้นมามันก็เบิก เห็นไหม นี่แหวกจอกแหน แหวกสิ่งที่มันสะสมมาในหัวใจ แต่มันยังไม่เป็นความจริง มันยังไม่ใช่เป็นความจริง พอเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมา กลับมาในปัจจุบัน อาสวักขยญาณมันทำลายอวิชชา มันทำลายความไม่รู้ เห็นไหม รู้อดีต-อนาคต แต่ไม่รู้ตัวเอง รู้ว่าชีวิตนี้มาจากไหน จิตนี้มาจากไหน ถ้ามันยังเกิดยังตายอยู่ มันยังไปอีก อย่างเช่นจิตพวกเรา ความรู้สึกพวกเรา พวกเรานี่เราเกิดมาจากไหน? เราเกิดมาจากพ่อ จากแม่ แต่ถ้าเป็นทางธรรมนะเราเกิดมาจากกรรม การกระทำของเราจิตนี้มีแรงขับ มีอวิชชามันถึงมาปฏิสนธิในไข่ ในครรภ์ ในน้ำคร่ำ ในโอปปาติกะ การกำเนิด ๔ ของจิต

การกำเนิด ๔ ของจิตและอาหาร ๔ ของจิต อาหาร ๔ ของวัฏฏะ มันต้องมีอาหารของมัน เห็นไหม สิ่งที่เป็นอดีต-อนาคตมันแก้กิเลสไม่ได้ แม้แต่ปุถุชนเขาก็รู้ได้ เพราะสิ่งนี้มันมีอยู่ แต่ธรรม ธรรมที่ว่าสิ่งที่มันคงที่ ที่มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงมันเป็นแบบใด? ถ้ามันเป็นแบบใด สิ่งที่มันเป็นแบบใด นี่ไงสิ่งที่เป็นแบบใด ถ้าจิตมันพิจารณาไป อาสวักขยญาณมันทำลายแล้วนี่ สิ่งที่ว่าที่ไหนมีจิตที่นั่นมีภพ ที่ไหนมีความรู้สึกที่นั่นมีสถานที่ให้กิเลสมันอาศัย

ไม่ต้องคิดนะ เฉยๆ นี่แหละ เฉยๆ นี่เป็นภพ เฉยๆ คือตอ คือพลังงาน พลังงานนี่แหละ นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส แล้วมันเห็นตัวมันอย่างไร? แม้แต่นิสัยนะ แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดเรา เรายังรู้ไม่ได้ แล้วเราจะเห็นมันเสวยภพ มันจะเห็นอวิชชา เห็นการนอนเนื่อง เห็นต่างๆ นี่ไงเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อาสวักขยญาณมาทำตรงนี้ต่างหากล่ะ

พอทำตรงนี้ต่างหากขึ้นมา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า ตถาคตประเสริฐที่สุด”

ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ประเสริฐเพราะว่าได้เจาะฟองไข่อวิชชาออกมา ในหัวใจได้ทำลายความไม่รู้ ความปิดกั้น ความหมักหมมในใจจนผ่องแผ้ว แล้วพิจารณาชำระจนสิ้นกิเลสไปเป็นองค์แรกไง เป็นองค์แรก

นี่ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด แล้วเราเป็นชาวพุทธนะ เราเป็นสัตว์มนุษย์ เราเป็นสัตว์ประเสริฐ เราเลือก เห็นไหม นี่ปู่ ย่า ตา ยายของเราเลือกนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนลงมาสู่ที่ความรู้สึกในหัวใจของเรา ในความรู้สึกนึกคิด เพราะในความรู้สึกนึกคิดนี้เป็นตัวเริ่มต้นที่จะทำดีทำชั่ว แล้วความรู้สึกนึกคิดนี้เรามีสติ เรามีปัญญาของเรา เราถึงแสวงหาในตัวของเรา

ทรัพย์สมบัติมันอยู่ที่บ้าน ทรัพย์สมบัติเราเก็บไว้ในธนาคาร มันเป็นทรัพย์สมบัติภายนอก แต่ทรัพย์สมบัติภายในของเราคือความอบอุ่น ความอบอุ่น ความร่มเย็น ความผ่องแผ้ว ไม่มีสิ่งใดกีดขวางในใจ ในใจของเรามันมีแต่ความลังเลสงสัย มันมีแต่ความเผาลน มันจะมีสมบัติมากน้อยแค่ไหนมันก็เผาลนใจ สิ่งที่เผาลนนี่ธรรมะจะมาแก้ไขตรงนี้ ถ้าธรรมะมาแก้ไขตรงนี้นะ เรามีสติปัญญาของเรา มีสติปัญญา เราเป็นคนตื่นอยู่ ถ้าคนตื่นอยู่มันจะรับรู้สิ่งนี้ ถ้าเราเปิดใจออกมา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการนะ มิจฉาทิฏฐิต่างๆ เขาบอกว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการนี้ประเสริฐมาก” เหมือนหงายของที่คว่ำอยู่ไง ของที่คว่ำอยู่ ภาชนะที่คว่ำอยู่ ฝนตกขนาดไหน อากาศขนาดไหน มันจะไม่ได้สิ่งใดเลย แต่ภาชนะนั้นได้หงายขึ้นมาแล้วนะ ฝนตกแดดออกมันจะใส่สู่ภาชนะนั้น

หัวใจที่มันปิดกั้น คนเราที่หลับใหล กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันครอบงำอยู่ พูดเท่าใด ฟังเท่าใดมันก็ไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าได้หงายภาชนะขึ้นมา เปิดหัวใจขึ้นมา สิ่งที่เราได้ยินขึ้นมานั้นเอาไปไตร่ตรอง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดสอนถึงนักปฏิบัตินะ “กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่คนสอน ไม่ให้เชื่อใครๆ ทั้งสิ้น” เพราะสิ่งนั้นมันเป็นโวหารออกมาจากผู้รู้ แต่ถ้าเวลาปฏิบัติขึ้นมามันเป็นความจริงของเรา ให้เชื่อการปฏิบัติของเรา เชื่อประสบการณ์ของเรา เชื่อความจริงของเรา แล้วความจริงของเรามันอยู่ที่ไหนล่ะ? ถ้าเราตื่นขึ้นมานะ เราก็เท่ากับหงายภาชนะของเรา เปิดหัวใจเราขึ้นมา แล้วสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังนั้นเอาไปไตร่ตรอง อย่าเชื่อ เอาไปไตร่ตรองว่ามันจริงหรือมันไม่จริง

แล้วเรามองไปทางโลกสิ คนที่เขาหลับใหลไป ชีวิตของเขาเป็นแบบใด? แล้วเราก็หลับใหลมากับเขา เวลาเราหลับใหลมากับเขา เราว่าสิ่งนี้ประเสริฐ เข้าสังคมไหน เข้าชมรมไหนเราว่าสิ่งนี้ประเสริฐ สิ่งนี้ดีงามทั้งนั้น แต่พอเราตื่นขึ้นมานะ สมบัติบ้า มีแต่ความบ้าคลั่ง อยากได้สิ่งใด อยากแสวงหาสิ่งใดก็พยายามขวนขวายให้ได้มา แต่ในหัวใจของเรา สิ่งที่มันเป็นความสงบระงับในใจ เห็นไหม สิ่งที่เป็นความบ้าคลั่ง บ้าคลั่งเพราะอะไร? เพราะมันมีทิฏฐิมานะ มีการแข่งขัน มีการต่างๆ แล้วเราปฏิบัติมีการแข่งขันไหม?

เวลาธรรมกับกิเลสมันแข่งขัน ใครที่ปฏิบัติไปแล้วจะรู้สึก แล้วจะขำนะ ขำในความรู้สึกของตัวเอง เวลามันทำไม่ได้ ทำไม่เป็น มันอั้นตู้นะ มันอัดอั้นตันใจเต็มที่เลย เวลาประพฤติปฏิบัติไป เวลามันได้ผลขึ้นมามันปลอดโปร่ง มันโล่งโถง มันมีความสุข มันมีความระงับ มันมาจากไหนล่ะ? นี่ไงมันมาจากผู้ที่ประสบการณ์ของใจ เวลากิเลสกับธรรมมันแข่งขันกัน เวลากิเลสนะ กิเลสมันต้องการให้เราหลับใหลอยู่ในอำนาจของมัน มันทำให้เราหลับใหลมา เกิดตายๆ มาไม่มีต้น ไม่มีปลาย ไม่มีต้นว่าเริ่มต้นที่ไหน? แล้วไม่มีความสิ้นสุดกระบวนการมันที่ไหน

ในปัจจุบันนี้เราว่าเราทุกข์มาก เราอยากประพฤติปฏิบัติ เราอยากจะพ้นจากทุกข์ นี้คือชาติหนึ่ง นี่แล้วมันจะเวียนตายเวียนเกิดไปนะ ไม่มีต้นและไม่มีปลาย ไม่มีกำหนดขอบเขตของมัน จนกว่าเมื่อไหร่เราตื่นขึ้นแล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา เรามีปัญญาของเรา เรามีสติปัญญาของเรา แล้วเราหาสถานที่สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน สมถกรรมฐานคือสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือฐีติจิต ฐีติจิตคือปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณเป็นผู้จุติลงกำเนิด ถ้าลงกำเนิด นี่ไงตัวเกิดตัวตาย

ถ้าจิตเราเข้าไปสู่สมถกรรมฐาน มันจะมีฐานที่ตั้งการงานของมัน ถ้ามีฐานที่ตั้ง งานของใจนะ ตอนนี้เรามีแต่เงาของใจ ไม่มีงานของใจ เงาของใจคือสัญญาอารมณ์ สิ่งที่เป็นความรู้สึกนึกคิดเกิดจากใจไม่ใช่ใจ ความรู้สึกนึกคิดเรานี้เกิดจากใจไม่ใช่ใจ มันเป็นเงา มันเป็นสัญญา มันเป็นอารมณ์ทั้งนั้น จิตสงบระงับเข้ามา สงบระงับจากอารมณ์เข้ามา เข้าไปสู่ความรู้สึกของมัน ความรู้สึกของมันคือสมถกรรมฐาน คือฐีติจิต ฐีติจิตใช้ปัญญาใคร่ครวญของมัน ใคร่ครวญในความทิฏฐิมานะ ในความเห็นของใจนั้น

ถ้าใจนั้นมีทิฏฐิมานะ ในความเห็นผิดนั้นมันพิจารณาใคร่ครวญของมัน จนมันปล่อยวางของมัน จนกว่ามันจะขาดของมัน เห็นไหม ถ้าสังโยชน์ขาด สักกายทิฏฐิความเห็นผิดของกายมันขาดไป นี่ไงมันมีต้นมีปลายแล้วไง พระโสดาบัน เกิดอย่างมากอีก ๗ ชาติเท่านั้น อย่างมากอีก ๗ ชาติเท่านั้น กับที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย มันเวียนตายเวียนเกิดอยู่นี่ไง สิ่งที่เวียนตายเวียนเกิดอยู่นี้เพราะมันหลับใหลอยู่ในอำนาจของกิเลส ฉะนั้น สิ่งที่กระทำ เรามาฟังธรรมกัน สิ่งนี้มีคุณค่าไง

ทรัพย์สมบัติภายนอก ไปวัดใช่ไหม? เขาว่าวัดไหนเจริญรุ่งเรือง ก็โบสถ์วิหารจะมีความหรูหรา มีความสะดวกสบาย แต่ถ้าไปวัดปฏิบัติ วัดคือวัดหัวใจ วัดคือข้อวัตร วัดคือกติกา วัดคือสิ่งที่เป็นกติกาว่าเราสงบเสงี่ยม เราเรียบร้อย เราควบคุมใจเราได้แค่ไหน นี่คือวัดปฏิบัติ ถ้าเราวัดปฏิบัติมันจะปฏิบัติที่ใจ ถ้าไปวัด วัดหัวใจของเรา หัวใจเรามันพองโต หัวใจเรามันเฉา มันเหงา มันหงอย นี่วัดหัวใจของเรา ถ้าเรากำหนดวัดหัวใจของเรา เราเข้าใจของเรา หัวใจของเรามันเป็นนามธรรม แล้วควรจะทำมันอย่างใด มันต้องมีที่เกาะเกี่ยวให้เป็นสิ่งที่จิตมันได้สงบระงับ

ฉะนั้น เราถึงต้องกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทธานุสติ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบ้านของเรา ปู่ ย่า ตา ยายก็เป็นประธานในบ้าน ในตระกูลของเรา เราเป็นชาวพุทธนะ ศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด! เรากำหนดพุทโธ พุทโธระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงศาสดาของเรามันมีบุญกุศลไง

ทางโลกเขาก็บอก “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวนะ”

หลวงตาบอกว่า “พุทโธสะเทือนสามโลกธาตุ”

จิตนี้เคยเกิดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ เรากำหนดพุทโธ กำหนดถึงจิต จิตนี้สะเทือนสามโลกธาตุ สะเทือนหัวใจของเรา หัวใจของเราสะเทือนสามโลกธาตุ เรากำหนดพุทโธ พุทโธให้มีที่เกาะไว้ แต่เรามองข้ามกัน พุทโธไม่มีปัญญา พุทโธมันเครียด พุทโธต่างๆ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงศาสดาของเรา ระลึกถึงผู้ที่มีพระคุณในการวางวัฒนธรรมประเพณีในชาวพุทธ แล้วเรามาเกิดในวัฒนธรรมประเพณีที่มีความสงบระงับ มียิ้มสยาม ยิ้มจากหัวใจ ยิ้มจากความรู้สึกนึกคิด มีความจริงใจต่อกัน

นี่สิ่งที่เรามาเกิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางวัฒนธรรมไว้ให้เรามาเกิด มีบุญคุณกับเราไหม? แล้วเราระลึกถึงพุทโธ พุทโธจะมีบุญคุณไหม? ถ้าเราระลึกได้ เราใช้ปัญญาได้ เราจะเห็นคุณค่าของคำว่าพุทโธ

หลวงตาบอกว่า “พุทโธสะเทือนสามโลกธาตุ”

ถ้าเรากำหนดพุทโธมันสะเทือนหัวใจของเรา ถ้ามันสะเทือนหัวใจ คนๆ นั้นเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนา กิเลสมันอยู่ที่หัวใจของเรา มันจะทำให้เราหลับใหลไปในอำนาจของมัน เราใช้สติปัญญาของเรากำหนดพุทโธจนสะเทือน จนมันรู้สึกตัวของมัน มันจะตื่นขึ้นมา ถ้าตื่นขึ้นมา หัวใจดวงนี้มีคุณค่า เพราะหัวใจดวงนี้มันจะแก้ไขมัน มันจะดูแลมัน มันจะรักษามัน

“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

ใจดวงนั้นจะแก้ไขใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะพ้นจากกิเลส ใจดวงนั้นจะมีวุฒิภาวะ ใจดวงนั้นจะประเสริฐขึ้นมาจากที่เราเป็นชาวพุทธ เอวัง